เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ครั้งที่ 9/2564 ผ่านระบบวิดีโอทางไกล เพื่อพิจารณาว่า จะมีการล็อกดาวน์หยุดยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิดหรือไม่
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศบค.มีมติเห็นชอบล็อกดาวน์ 14 วัน และตั้งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ รวมถึงจะต้องสกัดกั้นการเดินทางตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.เป็นต้นไป โดยขอให้กลับไปทบทวนแผนทั้งหมด
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการแก้สถานการณ์ โควิด-19
สำหรับเงินเดือน อัตราเงินเดือนตำแหน่งนายกฯ 75,590 บาทต่อเดือน , อัตราเงินประจำตำแหน่งนายกฯ 50,000 บาทต่อเดือนรวม 125,590 บาท รวม 3 เดือน เป็นเงิน 376,770 บาทา
โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2564 รายงานข่าวจากที่ประชุม ศบค. เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล (นครปฐมนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) โดยให้มีการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ยึดหลักการ ดังนี้
1.จำกัดการเดินทางของประชาชนทั้งออกจากบ้านและข้ามจังหวัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยขอให้เวิร์คฟอร์มโฮม( WFH) ให้มากที่สุด ยกเว้นงานบริการประชาชนและงานที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค, ขอความร่วมมือจากประชาชนงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น ยกเว้นการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค การไปโรงพยาบาล ฉีดวัคซีนหรือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปทำงาน, จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด, ขอความร่วมมือผู้ประกอบการลดการจัดบริการยานพาหนะของขนส่งสาธารณะที่ต้องเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งบกและอากาศการขนส่งยกเว้นการขนส่งสินค้า, ลดการรวมตัวทำกิจกรรมร่วมกันทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน เช่น งดการจัดอบรม งดจัดประชุม งดจัดสอบหรือกลับเข้าสถานศึกษา
2.ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคได้แก่ ปิดสถานที่เสี่ยงการติดโรค เช่น นวดแผนโบราณ (ยกเว้นนวดเท้า) สปา สถานเสริมความงาม ร้านสะดวกซื้อปิดเวลา 21.00-04.00 น. ห้างสรรพสินค้าเปิดได้เฉพาะร้านอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านเครื่องมือสื่อสาร ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ โดยเปิดได้จนถึงเวลา 21.00 น. ร้านอาหารเปิดขายได้ แต่ห้ามบริโภคในร้าน ห้ามจำหน่ายสุราเปิดได้ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนระบบขนส่งสาธารณะปิดเวลา 23.00-03.00 น. กำหนดเวลาปิดสวนสาธารณะ ในเวลา 21.00 น.
3.ปรับแผนการฉีดวัคซีนไปต่างจังหวัดและมาระดมการฉีดวัคซีนที่มีอยู่ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
4.ปรับระบบบริการตรวจคัดกรองและรักษาพยาบาล ให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดเร่งเพิ่มบริการตรวจคัดกรองและปรับระบบการบริการรักษาพยาบาล โดยเร่งให้มีการจัดบริการแบบ โฮม ไอโซเรชั่น และ คอมมูนิตี้ ไอโซเรชั่น ให้เหมาะสมและเพียงพอกับสถานการณ์และเชื่อมโยงกับหน่วยบริการปฐมภูมิเช่น คลินิกบริการอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร โดยมี สปสช. ในการจัดบริการ รวมทั้งให้หน่วยบริการจัดช่องทางด่วนในการตรวจคัดกรองและรักษาให้กับกลุ่มผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรัง
5.เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐเอกชนภาคประชาสังคมและประชาชนในการป้องกันตนเองตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล ดังนี้ ขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกคนเน้นมาตรการป้องกันส่วนบุคคลสวมหน้ากากอนามัย งดคลุกคลีใกล้ชิดกัน หรือรับประทานอาหารร่วมกันทั้งในบ้านและสถานที่ทำงาน, เน้นย้ำทุกหน่วยงานและผู้ประกอบการดำเนินการกำกับติดตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลในสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน, สร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมในการจัดบริการในการจัดบริการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล
อ่านข่าวหน้า1ทั้งหมด คลิก >>> ข่าวหน้า1
Copyright