ถือว่าเป็นนักแสดงพิธีกรชื่อดังที่มีหลายบทบาทเพราะนอกจากเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้ว “เปิ้ลนาคร ศิลาชัย” ยังเป็นซีอีโอ เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ชาบูก๋วยเตี๋ยวเรือ sail to the moon สองสาขาและ เป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ อีกด้วย
เช่นเดียวกับ “จูน กษมา” ภรรยาเธอคือคุณแม่ลูกสี่ที่ต้องดูแลครอบครัวและเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สินค้า และอาหารหลายแบรนด์ที่จำหน่ายในซูเปอร์สโตร์ชั้นนำ ทว่าเมื่อสังคมต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรก ต้นปี 2563 แผนงานชีวิตและการลงทุนธุรกิจที่เขาวางเอาไว้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เหมือนทุกคนในประเทศ มากน้อยต่างกันไป
โดย “เปิ้ล นาคร” ได้เผยว่าก่อนโควิด-19 ระบาดรอบแรกนั้นเขาตั้งเป้าธุรกิจไว้สูง ลงทุนทำร้านอาหาร 10 ล้านแต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง
“ตอนแรกก่อนที่โควิดจะมา เราตั้งเป้าไว้เลยว่าปีนี้จะต้องเป็นปีทองของพวกเรา แล้วปีนี้ก็มีโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย มีการลงทุนเยอะมากในหลายเรื่อง ในเรื่องของการลงทุนร้านอาหาร มีการลงทุนเป็น 10 ล้าน กะว่าเปิดมาแล้วต้องปังแน่นอน คนต้องเยอะ ปรากฎว่าโควิดมา ช็อกไปหนึ่งคืน จาก 100% เหลือ 3% แทบจะไม่เหลืออะไรเลย บอกพนักงานว่าคงต้องปิด ปรากฎว่าพนักงานเสียใจ แล้วก็ร้องไห้
เช่นเดียวกับ “จูน กษมา” ภรรยาสุดที่รัก เธอบอกตรงๆ เลยว่าปี 63 มีแต่รายจ่ายแต่ต้องตั้งสติรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะพนักงานไม่อยากตกงาน ถ้าไม่มีรายได้ ขอแค่มีข้าวกิน
“ก็ต้องบอกความเป็นจริงของยอดตัวเลขว่าเราต้องใช้จ่ายเท่าไหร่ เพราะรายได้เข้ามาไม่มีเลย มีแต่รายจ่าย แต่เด็กๆก็เข้าใจ เขาก็บอกว่าให้เขาทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนก็ได้ ขอแค่ให้เขามีข้าวกิน”
และแน่นอนที่สุดทุกวิกฤตย่อมมีทางออก “เปิ้ล นาคร” เผยต่อว่าการที่เขากลับมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ลำดับปัญหาและเริ่มลงมือแก้ทีละจุด ทำให้ความเครียดลดลง เขาปรับเปลี่ยนการขายอาหารจากขายเสิร์ฟในร้านเป็นบริการเดลิเวอรี่ ปรากฎว่าทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น
“ซึ่งเราก็มองหน้ากัน แล้วก็บอกว่า หรือเดลิเวอร์รี่คือทางออก ปรากฎว่าก็ลองทำ แล้วก็ศึกษาเรื่องเดลิเวอร์รี่ เพราะว่าเราไม่ถนัดเลยแต่พอวันที่ 3-5 ก็จับทางได้ แล้วก็รอดตายมา พนักงานยิ้ม ซึ่งเราไม่เคยเครียดอยู่แล้วเพราะว่าชีวิตมันขึ้นลง มันชิน ใครจะรู้ว่าวิกฤตโควิดที่เขาเป็นกันทั้งโลก”
“เปิ้ล นาคร” เล่าต่อว่า การกักตัว หลังจากพบว่าตัวเองสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายกลับทำให้มาทบทวนชีวิต และมีเวลาใกล้ชิดลูกๆ ทั้งสี่มากขึ้น
“อยู่ๆ มาวันนึงห่างกับตัวเราแค่คืบเดียว คือไปทำงานกับคนที่ติดโควิด-19 นั่งห่างกันแค่คืบ คิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น กลับมาพอรู้ตัวว่าเขาติดโควิด-19 ตอนนั้นเครียดเพราะรู้ตัวว่าเราเป็นผู้เสี่ยงสูง เราทำอะไรไม่ถูกคิดแค่ว่าเราติดแน่เลย ก็เลยไปตรวจปรากฎว่าไม่มีเชื้อ แต่เพื่อความสบายใจก็ไปตรวจไว้ก่อน กลับมาบ้านก็รีบกักตัวทันที”
ด้าน “จูน กษมา” เสริมว่า ความรู้สึกตอนที่รู้ว่าโควิดใกล้เรามากก็ตกใจ คือมันมาครอบครัวเราแล้วหรอ เพราะว่าครั้งนี้มันคือโควิดรอบ 2 คือมันใกล้ตัวมาก ซึ่งตกใจแต่ก็เชื่อมั่นในระดับนึง แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่ามันคงไม่ติดกันง่ายๆขนาดนั้น
“เปิ้ล นาคร” เผยอีกว่า พอเราเป็นผู้เสี่ยงสูง ลูกๆเป็นผู้เสียงต่ำ ลูกก็อยู่แต่บ้านไม่ไปไหน ไม่ไปโรงเรียนด้วย ซึ่งเราก็เครียด แต่ก็ไปตรวจเป็นระยะๆ แต่ระหว่างนั้นเราก็อาจจะรู้สึกสบายใจขึ้นมา พอมันเริ่มซา ธุรกิจต่างๆ ที่เราวางแผนไว้ก็เตรียมตัวที่จะออกมา แล้วก็หนังที่ครอบครัวเราทุ่มทุนสร้างก็กำลังจะเข้าฉาย เลยรู้สึกว่ามันเริ่มมองเห็นแสงสว่าง ที่สำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจที่ทำให้ครอบครัว “ศิลาชัย” มีกำลังใจสู้ฝ่าวิกฤติโควิด-19 นั้น นอกจากการวางแผนทบทวนปรับธุรกิจในยุคนิวนอร์มอลแล้ว พอเจอผลกระทบเลยทำให้ครอบครัวเรายังไม่ล้ม และที่อุ่นใจคือครอบครัวเราได้ทำประกันโควิด-19 กับทางทีคิวเอ็ม ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนกำลังจะได้รับการฉีดวัคซีน แต่ก็มีบางคนที่แพ้ ซึ่งทางทีคิวเอ็มเขามีประกันคุ้มครองให้กับผู้ที่แพ้วัคซีนด้วย โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
https://www.tqm.co.th/promotion/coronavirus_all?utm_source=website&utm_medium=daradaily&utm_campaign=covid_all
Copyright